ฉีดผิวขาว ลดน้ำหนัก จี้ไฝ เชียงใหม่

Facebook Instagram ENG | CHA
โปรแกรมดูแลผิวกาย

โปรแกรมดูแลผิวกาย เชียงใหม่


โปรแกรมดูแลผิวกาย

1. การเลเซอร์กำจัดจุดบกพร่อง
 

        ไม่ว่าจะเป็นไฝ กระ ติ่งเนื้อ หูด ก็สามารถบั่นทอนความมั่นใจและสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ที่มี เนื่องจากจะทำให้ผิวไม่เรียบเนียนแล้ว ยังทำให้บริเวณที่เกิดยื่นนูนออกมาอีกต่างหาก  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น สาวๆต่างก็หาวิธีที่จะกำจัดออกไป โดยบางรายมีวิธีกำจัดที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจจะก่อให้เกิดแผลเป็นขึ้นมาแทนที่ 
        เรื่องปัญหาเหล่านี้ทางคลินิกพรีมาดอนน่า สามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับไฝ ติ่งเนื้อ กระเนื้อและหูด โดยมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามที่มีประการณ์มามากกว่าสิบปี สามารถให้คำปรึกษาและพร้อมที่จะให้บริการในด้านความงามในเชียงใหม่
ไฝ
        ไฝคือจุดเล็ก ๆ ที่มักปรากฏเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำบนผิวหนัง อาจมีลักษณะแบน นูนขึ้น มีพื้นผิวเรียบหรือขรุขระ หรือบางครั้งก็มีเส้นขนขึ้นบนไฝ ไฝตามร่างกายพบได้เป็นปกติและมักขึ้นในช่วงระหว่างวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น โดยขนาดและรูปร่างของไฝยังอาจเปลี่ยนแปลงไปหรือจางลงเมื่ออายุมากขึ้นและส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่ก็มีโอกาสพัฒนาไปเป็นมะเร็งเมลาโนมาซึ่งพบได้น้อยมาก
        โดยสาเหตุของการเกิดไฝนั้นมีหลายปัจจัย โดยปัจจัยหลักๆในการเกิดไฝ คือการเปลี่ยนแปลงทางด้านฮอร์โมนต่างๆ พันธุกรรม แสงแดด ภูมิคุ้มกัน ช่วงอายุวัย ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีนส์ BRAF รวมถึงผู้ที่มีผิวสีอ่อนมีโอกาสเกิดไฝขึ้นมากกว่าคนผิวสี ซึ่งทางคลินิกในเชียงใหม่จะใช้วิธีการจี้ไฝโดยเครื่องเลเซอร์แบบ Co2 ในการเลเซอร์  และเป็นโปรแกรมกำจัดไฝที่นิยมในเชียงใหม่อีกด้วย


ติ่งเนื้อ
        ติ่งเนื้อคือ ก้อนเนื้อเล็กมีลักษณะนุ่ม ซึ่งเกิดขึ้นมาและเป็นติ่งอยู่บนผิวหนัง มีสีและขนาดแตกต่างกันไป โดยมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงประมาณ 2 นิ้ว ติ่งเนื้อไม่ใช่เนื้อร้าย และไม่กลายเป็นมะเร็งผิวหนัง โดยทั่วไปแล้ว บริเวณผิวหนังที่เป็นข้อพับมักเกิดติ่งเนื้อ เช่น คอ รักแร้ ลำตัว ใต้ราวนม หรือบริเวณหัวหน่าว ผู้ที่มีติ่งเนื้ออาจรู้สึกระคายเคืองในกรณีที่ติ่งเนื้อเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ ทั้งนี้ ผู้ที่มีอายุมากขึ้นอาจเกิดติ่งเนื้อได้ พบได้ทั่วไปสำหรับผู้ที่มีอายุ 50-60 ปี ขึ้นไป และมีแนวโน้มเกิดขึ้นกับผู้ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ตั้งครรภ์ หรือมีบุคคลในครอบครัวเคยเกิดติ่งเนื้อ
        โดยปัจจัยในการเกิดติ่งเนื้อจะเกิดขึ้นจากผิวหนังที่ล้อมรอบเส้นใยคอลลาเจนและเส้นเลือดจนกลายเป็นติ่งโปรตีนที่ขึ้นตามร่างกาย โดยจะเกิดขึ้นมากให้ผู้ที่มีอายุมาก แต่อย่างไรก็ตามติ่งเนื้อยังมีสาเหตุและปัจจัยอื่นๆในการเกิดติ่งเนื้อ เช่น ภาวะดื้ออินซูลิน ภาวะอ้วน การตั้งครรภ์ เชื้อHIV รวมถึงพันธุกรรมอีกด้วย 


วิธีการกำจัดติ่งเนื้อ
1. การผ่าตัดติ่งเนื้อ วิธีนี้จะช่วยกำจัดติ่งเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็เสี่ยงเกิดเลือดออกได้มาก
2. การบำบัดด้วยความเย็นจัด (Cryotherapy) วิธีนี้จะรักษาติ่งเนื้อด้วยอุณหภูมิเย็นจัด อีกทั้งยังใช้รักษาผิวหนังบริเวณที่เกิดอาการเจ็บปวดจากเส้นประสาท มะเร็งบางชนิด หรือเซลล์ผิวหนังที่เกิดความผิดปกติ โดยแพทย์จะสอดอุปกรณ์สำหรับรักษาเข้าไปข้างในเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่เส้นประสาทถูกทำลาย และลดอุณหภูมิของเครื่องมือจนเย็นจัด เพื่อแช่แข็งเส้นประสาท ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรือระคายเคือง
3. การเลเซอร์จี้ติ่งเนื้อด้วยเครื่อง Co2 วิธีนี้จะจี้เข้าที่บริเวณติ่งเนื้อที่มีสีผิดปกติหรือทำให้เกิดการระคายเคือง ให้หลุดออกไป ผู้ที่มีติ่งเนื้อควรใช้บริเวณสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากอาจมีอาการติดเชื้อได้


กระเนื้อ
        กระเนื้อ เป็นก้อนเนื้อชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อขนาดเล็กคล้ายหูดนูนขึ้นมาจากผิวหนัง มักพบตามใบหน้า หน้าอก ไหล่ และหลัง ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและไม่จำเป็นต้องรักษา ยกเว้นในรายที่กังวลเรื่องความสวยงาม ซึ่งพบได้บ่อยในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ

อาการของกระเนื้อ
ลักษณะหรืออาการของกระเนื้อสังเกตได้จาก
1. เป็นก้อนเนื้อรูปร่างทรงกลมหรือวงรีคล้ายแปะติดอยู่กับผิวหนัง
2. ขนาดของกระเนื้อส่วนมากมีขนาดเล็กไปจนถึงประมาณ 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร)
3. มีหลายสี พบได้ตั้งแต่น้ำตาลอ่อนหรือเข้มไปจนถึงสีดำ
4. พื้นผิวของกระอาจมีลักษณะเรียบมันหรือขรุขระ ค่อนข้างแบนหรือนูนขึ้นมาเล็กน้อย
5. พบได้บ่อยตามใบหน้า หนังศีรษะ หน้าอก ไหล่ ท้อง และหลัง มักเกิดเป็นกระจุกมากกว่าจุดเดียว แต่จะไม่พบตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้า
6. อาจมีอาการคันหรือเกิดการระคายเคือง แต่ไม่มีอาการเจ็บ
        โดยสาเหตุการเกิดติ่งเนื้อคล้ายกับการเกิดติ่งเนื้อ ซึ่งปัจจัยหลักๆคือ อายุ พันธุกรรม แสงแดด รวมถึงการมีโรคผิวหนังและยีนส์

การรักษากระเนื้อ
        กระเนื้อไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ยกเว้นผู้ป่วยต้องการกำจัดกระเนื้อออกด้วยเหตุผลด้านความสวยงาม หรือผิวหนังบริเวณนั้นส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิต เช่น เกิดการระคายเคืองหรือเลือดออกเมื่อเสียดสีกับเสื้อผ้า และวิธีการกำจัดกระเนื้อมีอยู่หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่ตามความเห็นของแพทย์
1. การผ่าตัดด้วยความเย็นจัดหรือการจี้เย็น (Cryosurgery) เป็นวิธีรักษาที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ไนโตรเจนเหลวแช่แข็งทำลายเนื้อเยื่อที่ผิดปกติออก แต่อาจส่งผลให้เกิดรอยด่างบริเวณที่เกิดกระเนื้อ และไม่ค่อยได้ผลดีกับกระเนื้อที่มีลักษณะนูน
2. การขูดเอาเนื้อเยื่อที่เป็นกระเนื้อออกโดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เรียกว่า Curettage เพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นบางหรือเรียบลง โดยอาจใช้ควบคู่กับวิธีการผ่าตัดด้วยความเย็นจัด หรือการจี้ด้วยไฟฟ้า
3. การจี้ไฟฟ้า แพทย์จะทายาชาเฉพาะที่ก่อนใช้เครื่องจี้ไฟฟ้ากับผิวหนังบริเวณที่เกิดกระเนื้อ แพทย์อาจใช้วิธีนี้เพียงวิธีเดียวหรือทำควบคู่กับการขูดเอาเนื้อเยื่อออก หากทำไม่ถูกวิธีหรือแพทย์ที่ไม่ชำนาญอาจก่อให้เกิดรอยแผลเป็นตามมา และค่อนข้างใช้เวลานานกว่าวิธีการรักษาอื่น
4. การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งมีเลเซอร์อยู่หลายชนิดที่ช่วยให้กระเลือนลงได้ ด้วยเครื่องเลเซอร์ชนิดCo2 ซึ่งเป็นการกำจัดกระเนื้อที่นิยมในเชียงใหม่
5. การจี้ด้วยสารเคมี เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic Acid)

หูด
        หูด เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus (HPV) โดยเชื้อไวรัสชนิดนี้จะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเกิดการหนาตัวหรือแข็งตัวขึ้น ส่วนใหญ่มักพบในเด็กและวัยรุ่น หูดมีหลายขนาดและหลายลักษณะ สามารถเกิดได้ตามผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย
        หูดสามารถแพร่กระจาย ติดต่อโดยการสัมผัสทางผิวหนัง และทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของหูด โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เกิดการถลอก มีรอยขีดข่วน มีแผลหรือถูกกดทับ การสัมผัสกับบริเวณผิวหนังที่เป็นหูดหรือการหยิบจับของที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนอยู่ ทั้งนี้หูดยังสามารถติดต่อจากส่วนหนึ่งของร่างกายไปยังอีกส่วนหนึ่งได้ รวมทั้งการแกะเกาก็สามารถทำให้เกิดการแพร่กระจายของหูดไปยังส่วนอื่นๆ ได้เช่นกัน
ลักษณะของหูด สามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้
1. หูดธรรมดา ลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็ง ผิวค่อนข้างขรุขระ สีเหมือนผิวหนังหรือสีดำ อาจมีเม็ดเดียวหรือหลายเม็ด
2. หูดผิวเรียบ ลักษณะเป็นตุ่มแบน ผิวเรียบ สีเหมือนผิวหนัง
3. หูดฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะเป็นปื้นหนาแข็งฝังอยู่ในเนื้อ สีค่อนข้างเหลือง เมื่อยืนเดินลงน้ำหนักหรือกดทับจะเจ็บ
4. หูดที่อวัยวะเพศ ลักษณะเป็นตุ่มนูนสูงคล้ายหงอนไก่ พบบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก และขาหนีบ
5. หูดที่เป็นติ่งเนื้อแข็งยื่นจากผิวหนัง ลักษณะเป็นตุ่มขรุขระแต่ยาวคล้ายนิ้วมือเล็กๆ มักพบบริเวณใบหน้า และลำคอ

วิธีการรักษาหูด
1. การทายา ยาที่ใช้จะเป็นยาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก กรดแลคติก กรดไตรคลออะซิติก แต่การรักษาหูดด้วยการทายาจะต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์ หรือบางรายหลายเดือนกว่าจะหาย ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ไม่ควรทายาด้วยตนเอง
2. การจี้ด้วยความเย็น โดยใช้ไนโตรเจนเหลว วิธีนี้ใช้ได้ผลดีกับหูดขนาดไม่ใหญ่มาก โดยระหว่างจี้ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บหรือแสบ ต่อมาบริเวณที่จี้อาจจะพองเป็นตุ่มน้ำ และใหญ่ขึ้นเป็นถุงน้ำ หลังจากนั้นจะค่อยๆ แห้งลงและตกสะเก็ด และจะหายภายใน 1-3 สัปดาห์ ซึ่งอาจต้องจี้ซ้ำหลายครั้งจนกว่าจะหายขาด
3. การจี้ด้วยไฟฟ้า เป็นการทำลายตุ่มหูดด้วยความร้อน วิธีนี้ได้ผลค่อนข้างดี แต่อาจทำให้มีแผลเป็นได้
4. การรักษาด้วยเลเซอร์ วิธีนี้จะใช้เลเซอร์จี้ที่ตัวหูด ซึ่งได้ผลดีและเป็นการเลเซอร์ที่รวดเร็วและปลอดภัย 
5. การผ่าตัด คือการผ่าตัดเอาก้อนหูดออก ใช้สำหรับหูดที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
6. การทายาเพื่อกระตุ้นภูมิ (DCP) ใช้ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีการอื่นไม่ได้ผลหรือหูดมีปริมาณมาก การรักษาใช้เวลาหลายเดือนและต้องมาทายาที่โรงพยาบาลทุกสัปดาห์

การทำเลเซอร์ Co2 (Co2 Laser)
        Co2 laser เป็นเลเซอร์ที่อยู่ในกลุ่มที่มีพลังงานสูง ซึ่งหลักการคือ กำจัดส่วนเกินที่ไม่ต้องการ รักษาโรคผิวหนัง โดยใช้เครื่องเลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในด้านประสิทธิภาพของการรักษา และความปลอดภัย โดยพลังงานของเครื่องแสงอินฟราเรดที่ผลิตจากเครื่องเลเซอร์ จะถูกดูดซับโดยน้ำที่เป็นส่วนประกอบในชั้นผิวหนังกำพร้า และหนังแท้ ทำให้เกิดความร้อนสูงในตำแหน่งที่ต้องการรักษา ทำให้ส่วนเกินที่ไม่ต้องการหลุดลอกออกไป จะใช้ในกรณีที่ต้องมีการ จี้ หรือ ตัดออก เช่น ติ่งเนื้อ กระเนื้อ ขี้แมลงวัน หรือ แม้กระทั้ง ต่อมไขมันที่โตผิดปกติ โดยเลเซอร์กลุ่มนี้จะทำให้เกิดแผลตื้นๆ หรือลึกไปถึงชั้นที่มีปัญหาอยู่  อาจจะต้องหลีกเลี่ยงสารเคมี หรือแสงแดดอยู่บ้าง แต่ก็สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เพียงแค่ทายาบริเวณที่เป็นแผลอย่างน้อย 1 อาทิตย์ ก่อนการทำเลเซอร์นี้ผู้ป่วยจะถูกทำความสะอาดบริเวณที่จะทำการรักษา และทายาชา ปิดด้วยฟิล์ม และรอให้ยาชาออกฤทธิ์ ประมาณ 30 – 45 นาที หลังจากนั้นจึงทำการยิงเลเซอร์ ซึ่งแผลจะหายดีภายใน 1 อาทิตย์ และรอยแดงจะค่อยๆ จางหายไปเองภายใน 1-2 เดือน ในบางรายที่มีเม็ดสีที่ลึกลงไป อาจจะต้องมาทำซ้ำ 1-2 ครั้ง แต่ต้องทิ้งระยะห่างกัน 3-6 เดือน
        โดยการเลเซอร์Co2 กำจัดไฝ ติ่งเนื้อ กระเนื้อ และหูด เป็นวิธีการที่นิยมในคลินิกที่เชียงใหม่ ราคาที่ถูกและย่อมเยา มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านความงามมายาวนานมากกว่าสิบปี ที่พร้อมจะให้บริการและรับปรึกษาเกี่ยวกับความงามได้ที่ พรีมาดอนน่าคลินิก ถนนนิมมานเหมินท ข้างธนาคารธนชาต จังหวัดเชียงใหม่ โทร 053-400862 

การดูแลตัวเองหลังการเลเซอร์Co2
1. แผลห้ามถูกน้ำ 24 ชม. แรก หรือตามแพทย์สั่ง
2. หลังจาก 24 ชม. ให้แกะพลาสเตอร์ติดแผลออก และล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนที่แพทย์สั่ง
3. เมื่อเริ่มมีสะเก็ดห้ามแกะ ใช้ยาทาที่แพทย์สั่งแต้มสะเก็ดเช้า - เย็น จนกว่าสะเก็ดจะหลุดไปเอง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
4. เมื่อแผลแห้งใช้ยาที่แพทย์สั่ง ใช้ทาบริเวณที่ทำเลเซอร์ไป
5. เมื่อสะเก็ดหลุดให้เริ่มทาครีมกันแดดทุกวันในตอนเช้า และพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุด
6. ระหว่างนี้อาจมีรอยแดงช้ำ หรือรอยหลุมตื้น ๆ ซึ่งจะดีขึ้นเองช้าๆ ถ้ามีปัญหารอยดำเกิดขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ค่ะ หรือหากไม่แน่ใจแนะนำให้กลับมาพบแพทย์เพื่อติดตามผล


2. การกำจัดขนถาวร
 

       ปกติแล้วมนุษย์ทุกคนจะมีขนเกิดขึ้นที่ผิว และจะมีหน้าที่ต่างๆของมันเอง อาทิ ขนที่บริเวณแขนและลำตัว เพื่อช่วยควบคุมระดับอุณหภูมิในร่างกาย ขนบริเวณหนังศีรษะมีไว้ปกป้องแสงแดดและเพื่อความสวยงาม ขนบริเวณรักแร้เพื่อลดแรงเสียดสี แต่บางคนมีเส้นขนที่ดกดำ อาจจะก่อให้ขาดความมั่นใจได้ และวิถีการกำจัดขนมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการถอนหรือดึงด้วยแหนบ โกนด้วยมีดโกน หรือกำจัดขนด้วยการแว็กซ์ 
        โดยปกติแล้ววิธีการกำจัดขนและระยะของการงอกขึ้นมาใหม่มีเวลาที่แตกต่างกัน แถมยังเจ็บตัวและรู้สึกรำคาญใจเวลาที่ขนเกิดขึ้นใหม่ในแต่ละครั้ง ในวันนี้ทางพรีมาดอนน่าคลินิก ขอแนะนำวิธีการกำจัดเส้นขนถาวร คือการเลเซอร์กำจัดขน ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์เป็นตัวช่วยในการกำจัดขน ที่มีความสะอาด รวดเร็วและปลอดภัยกับลูกค้าที่มาใช้บริการกำจัดขนที่พรีมาดอนน่าคลินิกในเชียงใหม่

เลเซอร์กำจัดเส้นขนคืออะไร
        เลเซอร์กำจัดเส้นขนเป็นวิธีการกําจัดขนโดยอาศัยพลังงานความร้อนจากแสงไปทำลายรากขน โดยบริเวณรากขนจะมีเซลล์เม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน ซึ่งทำหน้าที่ดูดพลังงานแสงให้มาอยู่ที่บริเวณรากขน แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้เส้นขน รากขน และเนื้อเยื่อต่างๆที่ทำหน้าที่ผลิตขนถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เนื้อเยื่อซึ่งเชื่อมต่อบริเวณรากขนและเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงก็ถูกทำลายไปด้วย ทำให้ไม่สามารถผลิต stem cells ที่ทำให้ขนงอกได้ เป็นผลให้วงจรการเกิดขนใหม่ช้าลง และเส้นขนที่เกิดใหม่จะมีขนาดเล็กลง สีอ่อนลง และจะค่อยๆ ขึ้นน้อยลง


โดยการเลเซอร์กำจัดเส้นขน มีอยู่ 4 ประเภท
1. Ruby laser คือเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นผลึกทับทิม มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 694 นาโนเมตร
2. Alexandrite laser คือเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นผลึกอเล็กแซนไดร์ มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 755 นาโนเมตร
3. Nd:YAG laser คือเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นผลึก Yttrium-aluminum garnet ที่มีสารเจือปนคือ Neodymium มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 1064 นาโนเมตร
4. Diode laser คือเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นสารกึ่งตัวนำ มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 800-810, 940, 1,350-1,064 นาโนเมตร
        ทั้งนี้ความยาวคลื่นที่ต่ำจะสามารถทะลุทะลวงได้น้อย แต่จะถูกดูดซับโดยเมลานินได้ดี ขณะที่ความยาวคลื่นที่สูงจะทะลุทะลวงสูง แต่จะถูกดูดซับโดยเมลานินได้น้อยกว่า และเนื่องจากสีผิวของชาวเอเชีย ค่อนข้างเข้มกว่าคนในแถบยุโรป (มีปริมาณเมลานินในผิวที่มากกว่า) ทำให้เลเซอร์ชนิด Ruby และ Alexandrite ไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยหรือในแถบเอเชีย เพราะอาจทำให้ผิวไหม้ได้ง่าย ดังนั้นโรงพยาบาล หรือสถาบันเสริมความงามจึงนิยมใช้ Nd:YAG laser และ Diode laser มากกว่า

IPL VS เลเซอร์ขน เหมือนกันหรือไม่
        บางคนอาจเคยได้ยินเทคโนโลยีกำจัดขนด้วย IPL ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นหนึ่งในชนิดของเลเซอร์ แต่จริงๆ แล้ว IPL ไม่ใช่เลเซอร์
        IPL (Intense Pulse Light) คือ แสงที่มีช่วงคลื่นแสงกว้างกว่าเลเซอร์ โดยความยาวคลื่นเริ่มตั้งแต่ 420 - 1200 นาโนเมตร ซึ่งถูกปล่อยออกมาหลายๆ ช่วงพร้อมกัน ขณะที่เลเซอร์เป็นแสงที่มีคลื่นความความถี่เดียว จากความยาวคลื่นที่กระจายตัว และเริ่มจากระดับต่ำไปจนถึงสูง ทำให้ IPL อาจมีประสิทธิภาพในการกำจัดขนไม่ดีเทียบเท่ากับเลเซอร์ (แต่ IPL อาจให้ผลดีกับการรักษาปัญหาผิวหน้าอื่นๆ) เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ หรือกำจัดขนได้ไม่หมดจด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการด้วย

ผลลัพธ์จากการเลเซอร์ขนดีแค่ไหน?
        การเลเซอร์ขนจะช่วยทำลายเส้นขนประมาณ 15- 30% ต่อการเลเซอร์ 1 ครั้ง โดยทั่วไปจะต้องเลเซอร์ประมาณ 5-8 ครั้ง จึงจะกำจัดขนได้อย่างหมดจด จึงควรเลเซอร์ทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี

วิธีการดูแลตนเองหลังจากการกำจัดเส้นขนถาวร
1. ประคบเย็น หลังจากการทำเลเซอร์กำจัดขน ผู้รับการรักษาอาจรู้สึกระคายเคืองผิว หรือมีอาการบวมแดงบริเวณที่ทำเล็กน้อย ซึ่งการประคบเย็นจะช่วยลดอาการดังกล่าวและทำให้รู้สึกสบายผิวมากขึ้นได้
2. ทาด้วยว่านหางจระเข้ ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ช่วยลดอาการระคายเคืองและอาการบวมแดงได้ โดยสามารถใช้ได้ทั้งชนิดเจล หรือนำว่านหางจระเข้สดมาประคบจนกว่าอาการจะดีขึ้นได้
3. หลีกเลี่ยงแสงแดด แสงแดดอาจส่งผลให้ผิวหนังบริเวณที่ทำเลเซอร์เกิดอาการระคายเคืองได้ ดังนั้นหลังจากการทำเลเซอร์ควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด โดยการอยู่ในที่ร่ม สวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด และทาครีมกันแดดบริเวณที่ทำเลเซอร์เพื่อป้องกันผิว
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับของร้อน ควรหลีกเลี่ยงการประคบร้อน หรืออาบน้ำด้วยน้ำอุ่นเพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ผิวหนังระคายเคืองมากขึ้นได้
5. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แม้จะสามารถใช้ครีมกันแดดได้ แต่ก็ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเคมี หรือกรดต่าง ๆ เช่น กรดวิตามินเอ กรดเรตินอล เพื่อลดการระคายเคืองของผิวหนัง


3. การฉีดวิตามินเพื่อผิวขาวกระจ่างใส

 
        ผิวที่กระจ่างใสเป็นค่านิยมที่สะท้อนถึงการดูแลใส่ใจตนเอง ซึ่งการที่จะมีผิวที่ขาวกระจ่างใสนั้นทำได้ยากกว่าการลดน้ำหนักด้วยซ้ำไป  เพราะปัจจัยทำให้ผิวเสีย หมองคล้ำ มีหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ มลภาวะ อาหารการกิน การดูแลตัวเองและพันธุกรรม ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยทำให้ผิวดูหมองคล้ำ หยาบกร้าน 
        โดยค่านิยมผิวที่ขาวกระจ่างใสมีมาอย่าช้านาน ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน และในปัจจุบันมีวิวัฒนาการและเทคนิคทางการแพทย์ในการทำให้ผิวพรรณขาวกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ โดยการฉีดวิตามินเข้าสู่เส้นเลือดเพื่อปรับเม็ดสีของผิวค่อยๆกระจ่างใสขึ้น การฉีดผิวเพื่อผิวขาวกระจ่างใสในเชียงใหม่ก็มีตัวยาที่ปรับสีผิวให้กระจ่างใสโดยเป็นธรรมชาติและปลอดภัย โดยการนำกลูต้าไธโอนและวิตามินต่างๆ เพื่อช่วยในการปรับสภาพผิวจากภายในสู่ภายนอกได้ แต่การจะฉีดผิวจำเป็นต้องได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะหากผิดพลาดไปอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้  และทางพรีมาดอนน่าคลินิก เป็นคลินิกที่ดูแลด้านการเสริมความงามที่ครบวงจรโดยมีทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญและเครื่องมือทางการแพทย์ทีปลอดภัยและทันสมัย

สิ่งที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจฉีดผิวขาว
1. การฉีดผิวขาว จะเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด เนื่องจากผลจากการฉีดสามารถเปลี่ยนเม็ดสีผิวให้กระจ่างใส การฉีดผิวขาวจะฉีดกันเป็นคอร์ส โดยจะฉีดสัปดาห์ละเข็ม และจะเห็นผลชัดเจนประมาณเข็มที่ 3 ผิวจะเริ่มเปลี่ยนเป็นขาวขึ้นกระจ่างใสขึ้น ความหมองคล้ำและแห้งกร้านจะหายไป
2. การฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาว โดยการฉีดผิวด้วยกลูต้าไธโอนเป็นที่นิยมยอดฮิตในการฉีดเพื่อปรับผิวขาวกระจ่างใสในเชียงใหม่ เนื่องจากกลูตาไธโอน สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีผิวจากสีน้ำตาลดำ ปรับเปลี่ยนเป็นเม็ดสีชมพูขาว อีกทั้งวิตามิน C วิตามิน E วิตามิน A มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่จะมาทำลายคอลลาเจน มีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง และผิวขาวใสได้ 
3. การฉีดคอลลาเจนเพื่อลดริ้วรอย สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้ริ้วรอยแผลเหี่ยวย่นหายไป ช่วยยกระดับกระชับผิว บริเวณที่ฉีดให้เต่งตึง มีความชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง และช่วยลดริ้วรอยแผลเป็น ให้แผลตื้นขึ้นได้ มีการนำคอลลาเจนมาใช้ในระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมาอย่างแพร่หลาย แต่ผลของการฉีดคอลลาเจน จะไม่คงทนถาวร ต้องฉีดซ้ำภายใน 6-8 เดือน และหากฉีดในปริมาณมากไป ริ้วรอยต่าง ๆ หรือแผลเป็น อาจจะเป็นรอยนูนขึ้นมามากกว่าเดิมได้
4. การฉีดวิตามินเพื่อผิวขาว และทนทานต่อแสงแดด ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ยอดฮิตสุดในการฉีดผิวขาวของสาวสาวเชียงใหม่โดยการฉีดวิตามิน C มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ผิว บำรุงเซลล์ผิวที่แข็งแรง และช่วยชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวได้ ส่วนแบบฉีดนั้น จะเห็นผลได้ชัดเจนกว่าการกิน เพราะการฉีดเข้าไปทางหลอดเลือด จะออกฤทธิ์ทันทีทั่วร่างกาย ซึ่งการเปลี่ยนแปล จะเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด เช่น ผิวดูสดใส หน้าตาไม่หมองคล้ำ แผลหายง่ายกว่าเดิม และทำให้ผิวขาวได้นั้นเอง

ข้อดีของการฉีดวิตามิน
        การฉีดวิตามินจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่ ไม่กระจ่างใส หมองคล้ำ หยาบกร้าน ให้กลับมาดูขาวใสอมชมพูยิ่งขึ่น และยังสามารถลดการสร้างเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติ จากสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลง อันเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ และทำให้จุดด่างดำดูจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพคือขาวและใสขึ้นอย่างแน่นอน


หลังจากฉีดผิวขายแล้วต้องดูแลตัวเองยังไง
1.ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากกว่าปกติ เพราะน้ำจะช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเกินไป และช่วยปรับสภาพผิวไปในตัว ได้สุขภาพที่ดีไปด้วย

2.ควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง ไม่ว่าแดดแรงหรือแดดอ่อนก็ต้องทาเพื่อป้องกันรังสี UV มีทุกที่แม้จะอยู่ในร่ม
แต่จะมีข้อห้าม สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว ดังนี้ค่ะ
– โรคเลือด
– โรคเบาหวาน
– โรคลมชัก
– สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นบุตร
        การที่จะฉีดเพื่อผิวที่กระจ่างใสควรสืบค้นและหาข้อมูลจากสถานบันที่น่าเชื่อถือ มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจากกระทรวงสาธารณสุข โดยคลินิกเสริมความงามพรีมาดอนน่า ก็เป็นอีกหนึ่งคลินิกที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขและมีแพทย์ที่เชียวชาญเฉพาะด้าน